วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

ทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน

ทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน

--------------------------------------------------------------------------------

การทำสิ่งใดโดยไม่หวังผลตอบแทนนั้น บางครั้งกลับได้รับคืนมาอย่างไม่น้อยไปกว่ากัน แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจว่าจะได้อะไรกลับคืนมาก็ตาม เพราะสิ่งหนึ่งที่นับเป็นความจริงในโลกนี้คือ คำที่ว่า “ทำอย่างไรก็จะได้อย่างนั้นกลับคืนมา”

อย่างเช่นเรื่องเล่าของสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเมื่อนานมาแล้วเรื่องนี้ ชื่อของเขาคือ เฟลมมิง เป็นชาวนาชาวสกอตแลนด์ผู้ยากจน วันหนึ่งระหว่างที่เขากำลังทำงานอยู่ในไร่ เฟลมมิ่งก็ได้ยินเสียงร้องให้ช่วยดังมาจากบึงโคลนที่อยู่ไม่ไกลแถวนั้น โดยไม่ต้องคิด เขาวางมือจากงานที่ทำอยู่ แล้ววิ่งตรงไปที่บึงอย่างรวดเร็ว แล้วเมื่อเข้าใกล้เขาก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังถูกโคลนดูดอยู่กลางบึง ยิ่งเขาพยายามดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองมากเท่าใด เด็กหนุ่มก็ยิ่งจมลงไปในโคลนมากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้โคลนอยู่สูงถึงหน้าอกของเขาแล้ว เด็กหนุ่มจึงร้องอย่างกลัวความตาย เมื่อเห็นอย่างนั้น เฟลมมิงก็วิ่งลุยโคลนลงไปโดยไม่คิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง เขาต้องช่วยเด็กหนุ่มออกมาให้ได้ โชคดีเป็นของเด็กหนุ่มที่เฟลมมิงอยู่ตรงนั้น ทำให้เขารอดพ้นจากความตาย

ในวันต่อมา มีรถม้าอันหรูหราสวยงามมาจอดตรงหน้าบ้านอันยากแค้นของเฟลมมิง แล้วขุนนางผู้สูงศักดิ์ในเครื่องแต่งกายงดงามก็ก้าวลงจากรถม้า เขาแนะนำตัวเองว่าเป็นบิดาของเด็กหนุ่มที่เฟลมมิงช่วยไว้เมื่อวานนี้

“ข้าต้องการจะตอบแทนเจ้า” ชายสูงศักดิ์กล่าว “ที่ได้ช่วยชีวิตลูกชายของข้าไว้” “ข้ารับค่าตอบแทนจากสิ่งที่ข้าทำลงไปไม่ได้หรอก”

เฟลมมิงตอบกลับ และในเวลาเดียวกันนั้น ลูกชายของเขาก็เดินออกมาจากตัวบ้าน “นั่นคือลูกชายของท่านใช่หรือไม่ ?” ชายสูงศักดิ์ถาม

“ใช่” “ถ้าเช่นนั้นข้ามีเรื่องจะตกลงกับเจ้า ข้าอยากช่วยลูกชายของเจ้าให้ได้เรียนหนังสือ มากเท่าที่ลูกชายของเจ้าพอใจจะได้หรือไม่ เพราะถ้าหากว่าลูกชายของเจ้าเป็นเหมือนพ่อของเขาแล้ว เขาจะเติบโตขึ้นเป็นคนที่พวกเราจะต้องภาคภูมิใจอย่างไม่ต้องสงสัย” เฟลมมิงตอบตกลงรับข้อเสนอนั้น

ต่อมาลูกชายของเฟลมมิงจึงได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุด หลังจากที่เขาเรียนจบจากโรงเรียนแพทย์ ของโรงพยาบาลเซนต์แมรีส์ในลอนดอน ชายหนุ่มคนนี้ก็กลายมาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในชื่อของ เซอร์อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิง ผู้ค้นพบยาเพนนิสซิลินนั่นเอง ภายหลัง ลูกชายของชายสูงศักดิ์ที่เฟลมมิงได้ช่วยไว้จากโคลนดูด ก็ล้มป่วยด้วยโรคปอด แล้วอะไรล่ะที่ช่วยชีวิตเขาไว้ได้อีกครั้ง ?

แน่นอน นั่นก็คือยาเพนนิสซิลิน ชื่อของชายสูงศักดิ์คนนั้นคือ ลอร์ด แรนดอลฟ์ เชอร์ชิลล์ และลูกชายของเขามีชื่อว่า เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์ ที่กลายมาเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร และเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ด้วยเรื่องนี้ทำให้เราเชื่อว่า“ทำอย่างไรก็จะได้อย่างนั้นกลับคืนมา” เป็นเรื่องจริง

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

"พลังจิต"

พลังจิต (Mind Power)


หมายถึงคลื่นความถี่ของพลังงานความคิด (Pranic Energy) ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าบวก (Proton) ไฟฟ้าลบ (Electron) ที่เกิดจากต่อมไพเนียล (Pineal Body) ที่สมองตอนบน เมื่อบุคคลคิดต่อมนี้จะสร้างคลื่นความถี่ของความคิดขึ้น


คลื่นนี้อาจจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขบวนการทางความคิด(Thinking Process) นั้น คลื่นนี้จะลอยอยู่รอบๆตัวผู้คิด เมื่อคิดถึงใคร
คลื่นนั้นจะพุ่งตรงไปยังต่อมสร้างความคิดของผู้รับนั้น ถ้าผู้รับรับคลื่นความคิดนั้นได้ จะเกิดความคิดเช่นนั้นทันที เรียกว่าเกิดการรับรู้ความคิดของผู้อื่นได้
บุคคลที่มีพลังจิตสูง


บุคคลที่มีพลังจิตสูงคือ บุคคลที่มีสมาธิดี เช่น มีสมาธิอยู่ในขั้นกลางที่เรียกว่าอุปจารสมาธิ และสมาธิขั้นสูงที่เรียกว่าอัปปนาสมาธิ

--------------------------------------------------------------------------------


การทำงานของพลังจิต



จิตจะทำงานได้จิตต้องมีเครื่องมือคือร่างกายที่เป็นอยู่ของจิต จิตจึงแสดงผลออกมาให้เห็นได้ ส่วนของมันสมองมีหน้าที่รับคำสั่งของจิตคือ ต่อมไพเนียล (Pinial Body) ซึ่งเป็นต่อมเล็กๆสีแดงอมเทา รูปกรวย เป็นส่วนประกอบของปลายประสาท ต่อมนี้อยู่ในส่วนกลางตอนบนของมันสมอง เมื่อต่อมไพเนียลรับคำสั่งของจิตต่อมนี้จะสร้างเป็นคลื่นความถี่ออกมา คลื่นความถี่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความคิดนั้น และจะลอยอยู่รอบๆตัวผู้คิด และคลื่นความถี่นี้จะวิ่งไปตามประสาทต่างๆทั่งร่างกายเพื่อควบคุมการทำงานของอวัยวะนั้นๆ พลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมอวัยวะต่างๆจะมีกระแสความถี่ต่างกันตามหน้าที่ของอวัยวะและคนนั้นๆอีกด้วย เช่น Electron และ Protron ที่ควบคุมการทำงานของเซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆทำให้มีการสร้างและการทำลายของเซลล์ได้ตามปกติ เช่น ทำลายไป 10 เซลล์ก็จะสร้างขึ้นมาทดแทนเช่นเดิม อวัยวะนั้นจะทำหน้าที่ได้ตามปกติ สร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้สูงเป็นปกติ ร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์

--------------------------------------------------------------------------------


การศึกษาพลังจิต


ได้มีการค้นคว้าทางพลังจิตทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ประเทศไทยเรียกพลังนี้ว่าพลังอำนาจทิพย์ ในต่างประเทศ เช่น ชาวจีนโบราณเรียกว่าพลังแห่งชีวิต
(Life Force Energy) ชาวยุโรป เช่น เยอรมันเรียกว่าพลังงานแม่เหล็กสัตว์ (Animal Magnetism) ชาวรัสเซียเรียกว่าพลังงานชีวภาพ
(Bioplasmic Energy) นักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มประเทศตะวันตกเรียกว่าพลังชีวภาพ (Bio Energy) หรือพลังแม่เหล็กไฟฟ้า
(Electo Magnetic Force)


บุคคลที่มีร่างกายแข็งแรงคือผู้ที่มีพลังจิตสมบูรณ์ควบคุมอยู่ทั่วทุกส่วนของร่างกายทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นแจ่มใสกระฉับกระเฉง พลังจิตจะเปล่งเป็นรัศมีออกโดยรอบร่างกาย ตรงกันข้ามคนป่วยจะมีพลังจิตควบคุมอยู่เพียงเล็กน้อย ภูมิต้านทานในร่างกายจะลดต่ำลง ร่างกายจะอ่อนแอ และจะมีร่างกายที่ปกติเหมือนเดิมได้เมื่อได้รับพลังจิตนั้นๆเพิ่มขึ้น


ดังนั้นพลังจิตจึงเป็นพลังงานที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย เช่น การหมุนเวียนของโลหิต การเจริญเติบโตของเซลล์ หากร่างกายส่วนใดขาดพลังจิตร่างกายส่วนนั้นจะไม่สามารถทำหน้าที่ใดๆได้ตามปกติ หรือร่างกายไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ พลังจิตที่ใช้กันทั่วไปมี 3 ลักษณะคือ
1.Telepathy คือพลังงานแห่งเมตตา พลังนี้ติดต่อกันได้โดยทางจิต เป็นพลังงานที่ใช้เพื่อการสร้างสรรค์
2.Telkynesys คือพลังงานที่ใช้บังคับวัตถุให้เคลื่อนที่ หรือใช้เพื่อทำลายวัตถุต่างๆ เป็นพลังงานที่ใช้เพื่อการบังคับหรือเพื่อการทำลาย
3.Teleportation คือพลังงานที่ใช้เพื่อการล่องหนหายตัว เมื่อใช้พลังงานนี้แล้ว สามารถเดินบนน้ำบนอากาศ หรือเพื่อผ่านเครื่องกีดขวางได้
พลังจิตผิดปกติทำให้เจ็บป่วย


จิตมีอำนาจเหนือร่างกาย ที่เรียกว่า จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยจิต เมื่อจิตมีอำนาจของกรรมครอบงำอยู่ จิตนั้นจะสั่งกายซึ่งเป็นเครื่องมือของจิตตามอำนาจของกรรมนั้น เช่น จิตมีอำนาจของอกุศลกรรมมาก พลังงานไฟฟ้าที่ออกมาจะไม่มีความสมดุลย์ทางธรรมชาติ เช่น ทำให้พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก พลังงานไฟฟ้าลบสูงมากบ้าง จะมีผลทำให้ระบบการสร้างการทำลายของร่างกายไม่คงที่ ดังนี้ พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์มากกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างโตกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของโรคบวม เนื้องอก เช่น โรคหัวใจ โรคมดลูก เนื้องอกธรรมดา เนื้องอกมะเร็งเป็นต้น


นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งได้กล่าวถึง ทฤษฏีเกี่ยวกับมะเร็งที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดว่า เซลล์มะเร็งเกิดขึ้นในตัวคนเราตลอดเวลา แต่ถูกทำลายโดยเซลล์เม็ดเลือดขาว ก่อนที่มันจะโตจนก่อพิษภัยแก่ร่างกาย โรคมะเร็งเกิดขึ้นต่อเมื่อระบบภูมิคุ้มกันถูกกดดันการทำงานไว้ ทำให้ไม่สามารถขจัดเซลล์มะเร็งที่ก่อตัวขึ้น ดังนั้นถ้ามีอะไรก็ตามส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองที่จะควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน มะเร็งย่อมเกิดขึ้นได้ พลังงานไฟฟ้าลบสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์น้อยกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างเล็กกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของโรคลีบตีบต่างๆ เช่น หลอดเลือดตีบ ลิ้นหัวใจตีบ
กล้ามเนื้อตาย มันสมองฝ่อ ภูมิต้านทานบกพร่อง ตับวาย ไตวาย กล้ามเนื้อหัวใจไม่ทำงาน เรียกว่า โรคไหลตาย เด็กเกิดมามีร่างกายไม่สมบูรณ์เป็นต้น


พลังงานไฟฟ้าภายในร่างกายของแต่ละบุคคลอาจไม่เท่ากันก็เป็นได้ เคยพบว่าการเพิ่มเลือด เกล็ดเลือดให้คนไข้ สภาพร่างกายคนไข้ไม่ยอมรับเลือดหรือเกล็ดเลือดนั้น เพราะเลือดใหม่และเลือดเก่าไม่สามารถเข้ากันได้ แม้ทางการแพทย์จะวิเคราะห์แล้วว่าเป็นเลือดกรุ๊ปเดียวกัน เมื่อพิจารณาในสมาธิพบว่าพลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมเม็ดเลือดนั้นไม่เท่ากัน แสดงว่าพลังงานควบคุมเม็ดเลือดของแต่ละคนจะเท่ากันหรือไม่เท่ากันก็ได้ และพบอยู่มากกับกลุ่มผู้หลงผิดที่ไปรับเอาพลังงานอื่นมากดทับพลังจิตของตนเอง ทำให้การทำงานของพลังจิตของตนผิดไป


จิตนั้นจึงสั่งมาที่สมองของตนผิด การแสดงออกของร่างกายจิตผิดไปด้วย เช่น กลุ่มของคนทรงเจ้าเข้าผี กลุ่มของคนเหล่านี้จะไปรับเอาเวทย์มนต์คาถา ของอิทธิฤทธิ์ ของอาถรรพ์ดวงวิญญาณเข้ามาสิง เช่น ดวงวิญญาณกุมารทอง นางกวัก ปลัดขิก เจ้าพ่อ เจ้าแม่ น้ำมันพรายหรือองค์เทพต่างๆมาอยู่กับตนที่เรียกว่า เดรัจฉานวิชา ไม่เป็นจิตดั้งเดิมของตนเอง อาการป่วยของบุคคลเหล่านี้ทางการแพทย์จะตรวจหาสาเหตุไม่พบ

--------------------------------------------------------------------------------


การเพิ่มและการรับพลังจิต


บุคคลที่มีสมาธิดีจะมีคลื่นความถี่ และความรุนแรงของพลังงานความคิดสูง สามารถที่จะส่งพลังงานนั้นไปยังบุคคลที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้แน่ชัดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ตัวผู้รับได้ตามความปราถนานั้น เรียกว่า การเพิ่มและการรับพลังจิต การเพิ่มแต่ละครั้งแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพิ่มพลังจิตแต่ละครั้งนานเท่าใด ผู้เพิ่มพลังจิตจะทราบได้ในสมาธิจิตนั้น หากผู้รับยังรับได้ก็เพิ่มให้ต่อไป หากเห็นว่าพลังจิตที่ส่งไปนั้นหยุดลง ก็หยุดเพิ่มพลังจิตในครั้งนั้น และต้องเพิ่มพลังจิตกี่ครั้งจึงจะได้ผล สิ่งนี้ไม่มีกำหนดแน่นอนขึ้นอยู่กับผู้รับ หากผู้รับสามารถรับพลังจิตได้มาก และเห็นว่าอวัยวะที่ผิดปกตินั้นเปลี่ยนเป็นปกติเร็วพลังจิตที่ส่งไปจะหยุดลง ควรหยุดเพิ่มพลังจิตให้ผู้ป่วยกลับไปทำสมาธิภาวนาด้วยตนเอง ผู้ป่วยจะสร้างพลังจิตที่ดีขึ้นมาได้ พลังจิตนั้นๆจะบำบัดทุกข์ให้กับผู้ป่วยได้ในที่สุด
การเพิ่มพลังจิตกระทำได้ 3 ทาง คือ
1. เพิ่มที่อวัยวะนั้นโดยตรง
2. เพิ่มที่จุดกำเนิดของพลังจิต คือที่ต่อมไพเนียล
3. เพิ่มพลังจิตให้ครอบคลุมทั้งตัวผู้รับ จะเพิ่มให้ใครที่อวัยวะใดนั้นจะทราบและเห็นได้ในสมาธินั้นๆ
--------------------------------------------------------------------------------


ผู้เพิ่มพลังจิตที่ดี


ผู้เพิ่มพลังจิตที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้คือ เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา และเมื่อเพิ่มพลังจิตให้กับใครก็ตามต้องรู้ทุกข์ รู้สาเหตุแห่งทุกข์ รู้หนทางดับทุกข์ และรู้วิธีการดับทุกข์นั้นๆโดยชัดแจ้งพร้อมตั้งตนอยู่ในพรหมวิหารธรรม และหิริโอตัปปธรรม ผู้รับพลังจิตที่ดี คือ เป็นผู้ที่มี
1. ศรัทธา ผู้รับต้องมีศรัทธาที่จะรับพลังจิต
2. สมาธิ ผู้รับต้องมีความตั้งมั่นแห่งจิตอยู่กับกายและจิตของตน
3. สติ ผู้รับต้องมีความระลึกได้ว่าตนกำลังรับพลังจิตอยู่
4. ปัญญา ผู้รับต้องรู้จักการปล่อยวางความทุกข์ออกจากจิตใจในขณะนั้น
5. ความขยันหมั่นเพียร การรับพลังจิตนั้นต้องรับสม่ำเสมอและให้ตั้งอยู่ในคำสอนของพุทธองค์เป็นหลัก ดังกล่าวแล้ว

--------------------------------------------------------------------------------


การเพิ่มพลังจิตผ่านบุคคลอื่นวัตถุอื่น


บางกรณีที่จำเป็น คือ ผู้ป่วยไม่สามารถขอรับพลังจิตด้วยตนเองได้ เช่นอยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก อยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช อยู่ต่างประเทศ ได้มีการทดลองเพิ่มพลังจิตผ่านกระแสจิตของผู้ใกล้ชิด เช่น พ่อ แม่ บุตร สามี ภรรยา ผู้ดูแล หรือผ่านลงไปในน้ำดื่ม ก็สามารถช่วยผู้ป่วยได้บ้างเป็นบางส่วนเท่านั้น
--------------------------------------------------------------------------------


บุญและบาปเป็นพลังงาน


หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 4 ธันวาคม 2536 และ 30 มกราคม 2537 ลงบทความเรื่องสัจธรรม โดย พญ.บุษกร กล่าวว่า
ร่างกายของสัตว์เป็นสสารควบคู่กับจิตใจซึ่งเป็นพลังงานทั้งร่างกายและจิตถูกพลังงานแห่งกิเลสปรุงแต่งให้จิตมืดบอด หรือ ราคะ โทสะ และโมหะ ส่งผลให้เกิดมโนกรรม วจีกรรม และ กายกรรมและกระทำความชั่วต่างๆได้ตามอำนาจของกรรมนั้นๆ


บุคคลที่มีจิตมีสัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิ มีจิตเมตตาปราณี ทางการแพทย์พบว่าต่อมใต้สมองจะผลิตสารบุญเรียกว่า เอนดอร์ฟีน (Endorphine) ออกมามากส่งผลให้ร่างกายเบาสบาย ที่เรียกว่าเกิดปิติ กินได้นอนหลับ ไม่ฝันร้าย หรือไม่ฝันเลย ผิวพรรณผ่องใสใบหน้าสดชื่น โคเรสเตอรอลละลายสลายตัว เม็ดเลือดขาวแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรคสูง ระบบต่างๆของร่างกายทำงานได้ดี เจ็บป่วยทางกายน้อยลง บาดแผลหายเร็วกว่าผู้มีจิตใจเป็นบาปถึงเท่าตัว หากเป็นโรคมะเร็ง เซลล์มะเร็งจะหยุดหรือลุกลามช้าลง


ในทางตรงกันข้าม บุคคลที่จิตมีมิจฉาสมาธิ มิจฉาทิฏฐิ จิตที่คิดเกลียด โกรธ อิจฉาริษยา อาฆาต พยาบาท เคียดแค้น เครียด วิตกกังวล ต่อมหมวกไตจะสร้างสารบาปออกมามาก สารนี้จะซึมเข้าสู่กระแสโลหิตแล้วไปออกฤทธิ์ที่อวัยวะเป้าหมาย ดังนี้
1. สารแอดรินาลิน (Adrenalin) ทำให้หัวใจเต้นเร็งแรง เส้นโลหิตแดงหดเกร็ง เป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ถ้าเส้นเลือดแดงที่ไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อผนังหัวใจหดจนตีบตัน หัวใจจะวายถึงตายได้ โคเรสเตอรอลจะถูกสร้างขึ้นทั้งๆที่มิได้รับประทานไขมันสัตว์ กะทิ ไข่แดง หอยนางลม หรือเครื่องในสัตว์มากกว่าปกติ
2. สารสเตียร์รอยด์ (Sterroid) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการหลั่งน้ำย่อยอาหาร อาจมีผลทำให้หลั่งมากหรือน้อยก็ได้ ถ้าหลั่งมากน้ำกรดในน้ำย่อยย่อมกัดผนังด้านในของกระเพาะอาหารทำให้ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ถ้ากัดกร่อนเส้นเลือดใหญ่ทะลุ จะอาเจียนเป็นเลือด หากช่วยไม่ทันจะเสียเลือดจนตาย ถ้าหลั่งน้อย ท้องจะอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ไม่อยากรับประทานอาหาร
3. สารแลคติค แอซิด หรือ เกลือแลคติค (Lactic Acid) ที่เกิดขึ้นแล้วมีผลต่อร่างกาย คือ
3.1 ทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำลายความแข็งแรงของเม็ดเลือดขาว เหมือนฤทธิ์ของ HIV เชื้อโรค AIDS ร่างกายจึงอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อย หายนาน
3.2 เกล็ดเลือดในกระแสโลหิตจับตัวกันเป็นลิ่มเล็กๆ ไปอุดตันตามหลอดเลือดฝอยต่างๆ ถ้าเกิดขึ้นกับอวัยวะสำคัญ เช่น มันสมองจะทำให้เกิดอัมพาตขึ้นได้


พลังงานแห่งวิบากกรรมเหล่านี้ เมื่อถูกก่อขึ้นแล้วมิอาจสูญหายไปในทางใดได้ พลังงานดังกล่าวจะตามสนองเรื่อยไปตามโอกาสตราบจนผู้นั้นสิ้นกิเลส สิ้นกรรม ไม่ก่อพลังงานของกรรมใหม่อีกต่อไป ที่เรียกว่า กรรมเป็นผู้ติดตาม


เมื่อท่านทราบผลกรรมที่เป็นปัจจุบันกรรมเช่นนี้แล้ว ขอได้หยุดสร้างกรรมต่อกัน ทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม พลังงานของวิบากกรรมจะเกิดขึ้นน้อยหรือไม่เกิดขึ้น การทำงานทุกระบบของร่างกายจะเป็นปกติ ท่านจะมีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ

ความว่างแห่งจิต

ความว่างแห่งจิต

--------------------------------------------------------------------------------

สิ่งทั้งมวลก่อกำเนิดขึ้นมาจากความว่าง แม้แต่จิตเดิมของเรา ก็เป็นเช่นนั้น

แต่ตอนนี้หากเราหันมาสังเกตและพิจารณาให้ลึกเข้าไปภายในใจของตน จะพบว่า มีบางอย่างมาปิดบังความว่าง มากมายเหลือเกิน

การติดดี ติดสุข และการหลงติดว่าสภาวะนั้นคงอยู่ไปตลอดกาล นั่นคือความทุกข์สุดสุดของมนุษย์

เพราะนอกจากจะทำให้ตาบอดมองไม่เห็นธรรมชาติตามจริงของสรรพสิ่งแล้ว ยังปล่อยให้ "ความหลง" เข้าครอบงำจิตใจอีกด้วย

การที่เราพิจารณาและเห็นตามจริงของทุกสิ่ง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม
เมื่อเราลองพิจารณาไปเรื่อยๆจะพบความจริงที่เป็นอมตะข้อนึงที่ว่า

สรรพสิ่ง ล้วนเกิดจากความเป็นธรรมดา นั่นคือความว่างเปล่า และมีแหล่งกำเนิดมาจากที่เดิมที่เดียวกัน
ซึ่งสุดท้ายแล้ว มันก็ต้องมีจุดจบเหมือนกัน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความรู้สึกหรือสิ่งของที่จับต้องได้ก็ตาม

ใจที่เป็นสุข คือใจที่ไม่ยึด และไม่เพลิดเพลินไปกับสิ่งใดๆ เมื่อสุข เราก็เฉยๆ เมื่อทุกข์เราก็เฉยๆ
เมื่อสุขนั้นหายไป เราก็ไม่เศร้าโศกเสียใจเพราะเราไม่ได้ยึดติดกับมันมาแต่ต้น

เมื่อทุกข์นั้นหายไป เราก็ไม่ดีใจให้เสียพลังงาน ก็เพราะเราไม่ได้สนใจมันมาตั้งแต่ทีแรก


อะไรที่ควรระวังที่สุดในการดำเนินชีวิต
ตอบ-->
ระวังสิ่งที่มากระทบใจ ระวังสิ่งที่เกิดจากการปรุงแต่งของใจ

บางครั้งก้อยก็คิดว่า เราควรปิดตาและปิดหูเสียบ้าง
และเอาเวลาน้อมหันเข้าหาพิจารณาตนเองให้มากๆ


ตนเองนั้นแหละ เป็นแหล่งที่ควรศึกษาและพิจารณาให้มาก ไม่ใช่คนอื่น

อย่าเที่ยวเสียเวลาไปดูคนอื่นเลย ดูตัวเองเถิด


น่าแปลกที่ทุกคนย่อมต้องการความสงบสุขทางใจกันทั้งนั้น
แต่เหตุใด? ถึงไม่หาสิ่งที่จะทำให้ใจเป็นสุขได้จริงๆ นั่นคือ ความสงบ

กลับหาสิ่งภายนอกตัว มาป้อนให้ใจ

แล้วยังงี้ ใจมันจะสงบสุขได้อย่างไร?


ท้ายนี้ก่อนลาจากกันไป ขอฝากบทความนึงไว้ -->

วิ่งร้อยกิโลเมตรยังมีวันหยุด และยังมีวันถึงเส้นชัย
แต่วิ่งตามกิเลสในใจ วิ่งให้ตาย ก็ไม่มีวันพอ

BY:KhUnMoR~koymoo~

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553

"ให้...แบบสละออก"

ชอบคำนี้มากเลย...

"ให้...แบบสละออก"



ผู้คิดคำนี้ คือหลวงพ่อท่านหนึ่ง (ขออภัยค่ะ ก้อยจำชื่อท่านไม่ได้) ท่านอยู่ที่วัดปทุมวนาราม ข้างห้างเซ็นทรัลเวิร์ลด์

ตอนนี้ก้อยรู้สึกมีความสุขจริงๆค่ะ ทั้งที่พิจารณาแล้ว สิ่งรอบตัวก้อย ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปซักกะอย่าง

อ้าว... แล้วทำไมอยู่ดีดีมีความสุขได้ไง...???

มีแฟนหรอ...ป่าว ได้ซื้อกระเป๋าใหม่หรอ...ก็ป่าว

แต่ก้อยสุขเพราะว่า ก้อยมองเห็นว่า สิ่งรอบๆตัวก้อยนั้น มีแต่ความสุขจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว เพื่อน สิ่งที่ตัวเองเป็นและเป้าหมายที่เริ่มมองเห็นแล้วในอนาคต

ได้มองเห็นคุณค่าและความงามในสิ่งรอบตัวที่มันเป็นอยู่

อีกอย่าง... ก้อยมีความสุข กับการทำดีมั้ง อ๊ะๆ ก้อยไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นคนดีนะ แต่ก้อยบอกว่า ทำดี ตะหาก

การคิดดี พูดดี ทำดี คนแรกที่จะได้รับผล คือ เราเอง ไม่ใช่ใคร

การให้ ก็ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการมีความสุข ความจริง คำว่า "การให้" นี่ ความหมายมันกว้างมาก

อย่างเช่น อาชีพของก้อย ก็คือ ให้ความสุขกายและสบายใจแก่คนไข้

หรือแม้กระทั่งการร่วมงานและการทำงาน เราก็ให้และเสียสละในบางเรื่องได้ เช่น เสียสละให้พี่พยาบาลดุว่านิดๆหน่อยๆบ้าง แหะๆ

หรือเรื่องไหนที่เราคิดว่า เพื่อนเราไม่น่าทำแบบนี้เลย ทำไมต้องโยนให้เราทำ เราก็เสียสละทำไปเถอะ เพราะเราเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ถ้าไม่มีใครยอม เรื่องก็ไม่จบ

และยังอาจหมายรวมไปถึง... ให้...คนที่เรารักมีความสุข โดยเอาตัวเองออกมา (ให้เขามีความสุขกับคนที่เขาเลือก-->เหอๆ ไม่พูดดีก่า เศร้า)



ก้อยพบว่า สิ่งหนึ่งของการดำรงชีวิตกับเพื่อนร่วมโลกอย่างสันติ คือ การให้ ... ซึ่งไม่ได้หมายเฉพาะการให้แบบสิ่งของ

แต่ต้องเริ่มให้ด้วย "ใจ" คือใจเราคิดที่จะให้ และเสียสละ ด้วย

มันเย้น...เย็นจริงๆนะ เย็นใจมาก

การที่เราทำดี ก้อยคิดว่า ไม่ใช่แค่ทำ แต่ต้องมี "ใจ" ที่ดีด้วย

เพราะถึงทำดี แต่ใจไม่คิดดี คนอื่นเขาก็ดูออกอะ ... อย่างน้อยก็หลอกตัวเองไม่ได้หรอก แถมเหนื่อยเปล่าๆมานั่ง fake ใส่คนอื่น



ดังนั้น การให้ สำหรับก้อย ต้องให้ด้วยใจ และที่สำคัญ ให้ แบบสละออก

หมายถึง ให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ "ไม่ติดดี" "ไม่ติดคำชมหรือสรรเสริญ"



สิ่งที่ก้อยกลัวมากคือ คำยกยอ

เพราะมันจะทำให้เราลอยขึ้นไปแบบไม่มองคนอื่น

มันจะทำให้เราไม่รู้ตัวเลยว่า เรานั่นแหละที่กำลังหลอกตัวเราเอง

และมันก็คือสิ่งที่เป็นศัตรูของการทำดี



เพราะถ้ามีคนชมเรามากๆ จิตเราจะติดดีไปโดยที่เราไม่รู้ตัวซึ่งน่ากลัวมาก

ทีนี้ ทิฐิเราจะสูงขึ้นๆ

จนวันนึงถ้าเราทำดีแล้วไม่มีคนชมเรา เราจะรู้สึกไม่ดี หรือไม่อยากทำดีต่อไป

ดังนั้น การทำดี แบบอยากจะทำดี

และการให้ แบบ ให้ด้วยใจ แบบสละออกนั้น เป็นการให้ที่ประเสริฐสุด

เพราะทำดีแล้ว ให้เขาไปแล้ว เราสุขใจพอ จบ หลังจากนั้นเราไม่คิดต่อแล้ว

คำสรรเสริญ ของขวัญ เงิน อะไรต่างๆ เราก็ไม่เอาแล้ว อย่าให้ของเหล่านั้นมาหลอกเราได้

อีกอย่าง การทำดีต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่ส่วนตัว เช่น ทำดีเพราะจะได้คะแนนเพิ่ม ได้ยศเพิ่ม ... ไม่ใช่...

เพราะถ้ายังงั้น คนเขาจะนับถือเราที่เกรดหรือยศเท่านั้น... แต่...

ความเป็นมนุษย์ในตัวของเรา คุณค่าในตัวของเราจริงๆ เขาไม่ได้นับถือเลย...



ถ้าถามว่า ก้อยยกย่องคนที่อะไร --> ยกย่องคนที่ให้เกียรติและเห็นคุณค่าของคนอื่น

เพราะถึงแม้คุณมีเงินซื้อทั้งประเทศได้ แต่การทำตัวของคุณกลับไม่สมกับที่คุณได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ก้อยว่านั่นคือการเสียชาติเกิด



เงินน่ะ ก็แค่กระดาษ หมดแล้วก็หาใหม่

แต่คุณค่าอันงดงามของคน ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ สร้างยาก และดำรงอยู่ได้ยาก

และสิ่งนี้แหละที่จรรโลงสังคมและโลกให้งดงาม



ความจริงคือ ยิ่งเรามีฐานะสูงทางสังคมเท่าไร เรายิ่งต้องย่อตัวลงเท่านั้น


อย่าลืมว่า มนุษย์ส่วนใหญ่อยู่บนพื้นดิน แล้วท่านจะเงยหน้าหรือบินขึ้นไปบนฟ้าคนเดียว เพื่ออะไร

และก็อย่าลืมว่า ท่านเองนั้น ก็กำเนิดมาจากพื้นดิน เหมือนกัน...


เธอจะทำดี ก็ไม่มีใครเป็นสุขใจเท่าตัวเธอเอง

เธอจะทำเลว ก็ไม่มีใครรู้ดีเท่าเธออีกเช่นกัน

ตัวเธอเอง ที่จะเป็นผู้ตัดสิน ว่าเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว จะไปทางดีหรือเลว

ไม่มีใครบังคับเธอ เพราะเธอต้องเลือกการมีชีวิตอยู่ในแบบของเธอเอง



แต่อย่าลืมอย่างหนึ่ง ... ว่า ถ้าเราขว้างลูกบอลใส่กำแพงแรงเท่าไร เราก็ได้รับแรงสะท้อนกลับใส่ตัวเรามากขึ้นเท่านั้น

เช่นกัน...ในทุกๆการกระทำ ไม่ว่าดีหรือเลว จะต้องมีผลสะท้อนกลับไปยังผู้กระทำไม่ช้าก็เร็ว





จงเป็นมนุษย์ อย่าเพียงแค่ เป็นคน

และเธอเองต้องเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่าในตัวของเธอเอง

อย่าให้ใคร หรือคำสรรเสริญ อามิสสินจ้างใดๆ มาทำให้คุณค่าของเธอด่างพร้อยเป็นอันขาด

เมื่อนั้น... เธอก็จะเป็นมนุษย์ ที่สมบูรณ์


BY: KhUnMoRkoymoo

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

หะ มอ..."หมอ"

ห= ให้
ม=มอบ
อ=อุทิศ

นี่คือคำที่อาจารย์สูติศาสตร์ท่านหนึ่งที่ฉันเคารพ(รัก)มาก เป็นผู้บอกนิสิตแพทย์ชั้นปีที่หก ที่กำลังจะจบไปเป็นแพทย์หญิงเต็มตัวในอีกสองเดือนข้างหน้า !!! (โอ้ มายก๊อด เวลามันช่างกระชั้นชิดยิ่งนัก)

จากการที่ได้เป็นนิสิตแพทย์มาหกปี และได้มีโอกาสเรียนรู้และรักษาผู้ป่วยมากมายตอนขึ้นปีสี่จนถึงตอนนี้ ทำให้ฉันได้สัมผัสถึง "ความเป็นหมอ" มากขึ้น ช่วงแรกๆ ฉันไม่เข้าใจและไม่ใกล้กับคำว่า "หมอ" เลย เพราะฉันเองก็ไม่ได้อยากเรียนหมอมาตั้งแต่ทีแรก ฉันไม่ชอบเนื้อหาของหมอ และฉันก็ไม่ได้อยากตั้งใจเรียนเอาซะเลย ทำไมนะ ต้องมาดูแลคนไข้ ต้องมาตื่นทำแผลตอนตีสี่ ตีห้า ให้กับคนที่ไม่ใช่ญาติเรา และบางครั้งก็พูดจาไม่ดีกับเราด้วย

เวลานับจากเริ่มเป็นนิสิตแพทย์เอ๊าะๆ จนมาถึงตอนแก่ที่ใกล้จบเป็นแพทย์หญิงเต็มตัว คราวนี้เอง ที่ทำให้ฉันได้รู้ถึงคุณค่าแห่งคำว่า "หมอ" ทำให้ฉันได้เรียนรู้การเป็นหมอที่ดีจากอาจารย์และรุ่นพี่หลายๆคน รวมถึงพฤติกรรมบางอย่างที่เป็นบทเรียนว่า หมอที่ดีไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง...

การเป็นหมอที่ดี ไม่ได้อยู่ที่คะแนนหรือเกรด มันอาจจะจริงมากตรงที่ IQ และ EQ มักจะไม่ไปด้วยกัน การที่ผู้ป่วยมารักษากับเรานั้น อย่างแรก หมอต้องไม่รู้สึกรำคาญ และขี้เกียจรักษา หรือคิดว่าผู้ป่วยแกล้งป่วย เพราะผู้ป่วยเองก็เป็นคนๆนึงเหมือนเรา ใครล่ะอยากจะเสียเวลามาโรงพยาบาล ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทุกคนคิดถึงเป็นอันดับสุดท้าย อีกอย่างที่สำคัญมาก คือ การสื่อสารและมนุษยสัมพันธ์กับคนไข้ การที่หมอพูดจาและใช้คำพูด รวมไปถึงน้ำเสียงที่ดี มีโอกาสทำให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้นได้มากกว่าครึ่ง คนไข้เองก็ไม่สบายอยู่แล้ว มีทั้งหมอ มีทั้งพยาบาล และอะไรอีกมากมาย มารุมเยอะๆ ก็มีโอกาสอารมณ์เสียเป็นธรรมดา ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา เราซึ่งเป็นหมอ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ต้องไม่เอาอารมณ์มาปนในการรักษาคนไข้ แน่นอนว่า หมอไม่ใช่พระอรหันต์หรือผู้หมดจดจากกิเลส การที่จะไม่โกรธเลยเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก แต่ถึงตรงนี้ ขอให้หมอทำความเข้าใจไว้ว่า หากเราเป็นผู้ป่วยซะเอง หรือผู้ป่วยนั้นเป็นพ่อ แม่ หรือญาติเรา เราจะทำกับเขาแบบนั้นหรือไม่ ... นึกถึงตรงนี้ ความรู้สึกอาจแตกต่างกัน

ผู้ป่วยทุกคน ก็เหมือนเรา ชีวิตทุกชีวิตมีค่า การที่เขาไว้ใจให้เราซึ่งไม่ใช่ญาติหรือรู้จักมักจี่กับเขามาก่อน มารักษาชีวิตอันมีค่าของเขา นับว่าเขาไว้ใจเราเป็นอย่างยิ่ง การที่เขาไว้ใจเรา เพราะคำๆเดียว ก็เพราะเราเป็น "หมอ" ดังนั้น เราควรทำหน้าที่ของ "หมอ" นั่นคือ ให้ มอบ และอุทิศ ให้ดีที่สุด

การเป็นหมอ เป็นไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากที่สุดในความเป็นหมอ คือ การเป็นหมอที่ดี

หมอ เป็นอาชีพที่มีเกียรติและมีคุณค่าเสมอ ไม่ว่าจะยุคไหน สมัยไหน หรือในประเทศใดในโลก ที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีเกียรติ ไม่ใช่เพราะคัดเอาแต่คนสมองดีดีมาเรียน แต่มีเกียรติที่ ได้นำความรู้ที่ตนเองมีไปรักษาชีวิต ร่างกาย และจิตใจของผู้อื่น ซึ่งสามอย่างนี้ถือว่า เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์

นอกจากการเป็นหมอที่ดี อาชีพที่น่ายกย่องอีกอาชีพหนึ่งคือ อาจารย์หมอ สมัยนี้หาคนเป็นอาจารย์หมอ ยาก เพราะต้องเสียสละ และค่าตอบแทนก็ไม่ค่อยคุ้มความเหนื่อย ดังนั้น คนที่จะเป็น อาจารย์หมอ จึงต้อง มีความตั้งใจจริงและเสียสละความสุขส่วนตน มาอบรมและสอนนิสิตแพทย์ให้จบออกไปเป็นแพทย์ที่มีความรู้และรักษาช่วยเหลือผู้ป่วยต่อไป...

ซึ่ง ต่อจากนี้ อาชีพในฝันของฉันก็คือ อาจารย์หมอ...


ฉันเองไม่ใช่หมอที่ดีหรอกค่ะ เคยทำเรื่องไม่ดีมาก็เยอะ คิดย้อนกลับไป ก็รู้สึกน้ำตาไหลทุกที ว่าเราเป็นคนแบบนั้นได้อย่างไร เราเป็นหมอที่แย่มากขนาดนั้นได้อย่างไร แต่ถ้าเราไม่เคยผ่านเหตุการณ์แย่ๆ เราก็ไม่รู้ใช่ไหมคะว่า หมอที่ดี เขาเป็นอย่างไร

ความสุขใจของความเป็นหมอคืออะไร อาจมีนิยามแตกต่างกันไปในหมอแต่ละคน

แต่ คำว่า "หมอ" สำหรับฉัน ไม่ใช่เครื่องประดับความโก้หรูเพื่อยกตัวเองสูงกว่าผู้อื่นหรอกค่ะ

ความจริงอาชีพอื่นที่สบาย ดัง ดูดี และรวยกว่าหมอ ก็มีเยอะแยะมาก

หากฉันไม่มีความสุขใจที่เพิ่งจะหาเจอได้ตอนนี้ ป่านนี้ คงตั้งใจไปเรียนอาชีพอื่นแล้ว

แต่ตอนนี้ฉันหาเจอแล้ว

ความสุขของฉัน ก็คือ การที่ฉันได้ให้ ได้มอบ และเห็นรอยยิ้มของคนไข้

ได้เห็นคนไข้กลับมามีสภาพกายและจิตที่ปกติหรือใกล้เคียงปกติ...อีกครั้ง

เคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งสอนว่า คนไข้สองคน ถือกล้วยมาคนนึง กับคนนึง ถือเงินสามพันมาให้เรา
กล้วย คนไข้ต้องแบกมา ใช้ใจแบก หนักก็หนักนะ อุตส่าห์เอามาให้เรา
แต่
เงินน่ะ...
เบาก็เบา แค่ใช้มือดึงออกมาจากกระเป๋า ไม่ได้ใช้ใจถือมา...

ลองคิดดูนะ
ถ้าเราเป็นหมอ เราจะเลือกอะไร ...